Airbus A380 ล้มยักษ์ขึ้นเป็นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างไร?

Airbus A380
Airbus A380 ของการบินไทย

Airbus A380 คือเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหมือนยักษ์บินได้ ซึ่งสามารถเอาชนะขีดจำกัดและความท้าทายมากมาย จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความความยิ่งใหญ่และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการบินบนท้องฟ้า คลิปนี้เรามาเจาะลึกเรื่องราวอันน่าทึ่งกันกว่า Airbus A380 สามารถโค่นแชมป์เก่าอย่าง Boeing 747 ขึ้นเป็นเจ้าเวหาได้อย่างไร

Airbus A380 ผู้ล้มยักษ์

กำเนิด Airbus A380

Airbus A380
Airbus A380 สายการบิน Emirates

Airbus A380 เริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2005 แล้วสร้างความตกตลึงให้กับโลกอย่างมาก ด้วยขนาดที่ใหญ่มหึมา เป็นแบบ 2 ชั้นทั้งลำ จุผู้โดยสารได้มากกว่า 555 คน ซึ่งต้องใช้เครื่องยนต์ Jet ถึง 4 เครื่อง กลายเป็นเครื่องบินโดยสารที่ล้ำสมัยและใหญ่ที่สุดในโลก จนได้รับฉายาว่า Superjumbo

Airbus A380 Specification

Airbus A380 Side View
Airbus A380 Side View
Airbus A380 Front View
Airbus A380 Front View
  • ยาว 72.72 เมตร
  • แพนปีกกว้าง 79.75 เมตร
  • สูง 24.09 เมตร
  • น้ำหนัก 285,000 กก.
  • บินได้ไกล 14,800 กม.
  • จุผู้โดยสารได้ 555 คน และสูงสุด 853 คน
  • น้ำหนักบรรทุก 575,000 กก.
  • ราคาลำละ 13,350 ล้านบาท

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องบิน Boeing 747 ที่พี่เล่าให้ฟังแบบตัวต่อต่อแล้วจะเห็นได้ว่า

Boeing 747
Boeing 747

Airbus A380 vs Boeing 747-8

Airbus A380 vs Boeing 747
Airbus A380 vs Boeing 747
  • A380 สั้นกว่า 747 4%
  • A380 กว้างกว่า 747 14%
  • A380 สูงกว่า 747 19%
  • A380 หนักกว่า 747 35%
  • A380 จุผู้โดยสารมากกว่า 747 16%
  • A380 บรรทุกได้หนักกว่า 747 30%
  • A380 ราคาแพงกว่า 747 10%

ถือได้ว่า Airbus A380 เป็นความมหัศจรรย์ด้านเทคโนโลยีการบิน กลายเป็นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดโลก ที่สามารถโค่นแชมป์เก่าอย่าง Boeing 747 ลงได้สำเร็จ ด้วยความทันสมัยกว่า และหรูหรากว่า แถมมีราคาแพงกว่า Boeing 747-8 แค่ 10%

แต่แล้ว Airbus กลับโชคร้าย เมื่อพฤติกรรมของนักเดินทางเปลี่ยนไป ทำให้สายการบินต้องปรับตัว เพื่อบริหารต้นทุนแต่ละเที่ยวบินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเครื่องบินที่มี 2 เครื่องยนต์ ได้รับความนิยมเข้ามาแทน

ปี 2021 ได้มีการผลิต Airbus A380 เป็นเครื่อง 251 แล้วยส่งมอบเป็นลำสุดท้ายให้กับสารการบิน Emirates เป็นการปิดตำนานความยิ่งใหญ่ลงอย่างน่าเสียดาย

เรามาย้อนรอยดูกันว่า Airbus เข้ามาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่จนกลายเป็นเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยังไง และ Airbus จะทำยังไงต่อไป

Airbus A380 มีที่มาอย่างไร?

Airbus A380
Airbus A380

ปี 1990 ในยุคที่การเดินทางทางอากาศเติบโตอย่างมาก ซึ่งการบินระยะไกลยังมีแค่ Boeing 747 เป็นเจ้าตลาด แล้วได้เกิดจุดเปลี่ยนซึ่งสำคัญมากๆ ขึ้น เมื่อสองยักษ์ใหญ่ด้านการบินอย่าง Boeing และ Airbus มีความคิดเห็นในเรื่องอนาคตของการบินต่างกัน

Boeing Vision

Boeing เชื่อว่า นักเดินทางอยากบินตรงไปยังปลายทางระยะไกลเพิ่มขึ้น ทำให้ Boeing เลือกที่จะพัฒนาเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อใช้รองรับเส้นทางบินระยะไกลแบบจุดต่อจุด Point to Point เช่น Boeing 777 และ Boeing 787 Dreamliner

Point to Point
Point to Point

ข้อดี

  • มีความยืดหยุ่นสูงช่วยให้สายการบินใช้จัดเส้นทางบินได้หลากหลาย
  • ลดความเสี่ยงของสารการบิน ถ้าจำนวนผู้โดยสารน้อยลง

ข้อเสีย

  • รองรับผู้โดยสารต่อเที่ยวบินได้ลดลง
  • ราคาต้นทุนต่อผู้โดยสารสูง

Airbus Vision

Airbus เชื่อว่า นักเดินทางอยากบินสะดวกสบายขึ้น ด้วยราคาที่ถูกลง ทำให้ Airbus เลือกที่จะพัฒนาเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่า Boeing 747 เพื่อจุผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น สำหรับเส้นทางบินแบบ Hub and Spoke ระหว่างสนามบินซึ่งเป็น Hub ขนาดใหญ่ แล้วผู้โดยสารค่อยเปลี่ยนเครื่องด้วยเครื่องที่เล็กลง เพื่อบินต่อไปยังปลายทางซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก.

Hub and Spoke
Hub and Spoke

ข้อดี

  • รองรับผู้โดยสารต่อเที่ยวบินได้มากขึ้น
  • ต้นทุนต่อผู้โดยสารถูกลง

ข้อเสีย

  • มีความยืดหยุ่นต่ำ เหมาะที่จะใช้กับเส้นทางที่มีผู้โดยสารจำนวนมากเท่านั้น
  • ความเสี่ยงสูง ถ้ามีผู้โดยสารน้อย

ทำให้ Airbus ตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะพัฒนา A380  ให้กลายเป็นเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อโค่นแชมป์อย่าง Boeing 747 ลงให้ได้

ในช่วงแรก Airbus ออกแบบให้ A380 มีลำตัวกว้างเป็นสองเท่า เหมือนฟองแฝด หรือ Double Bubble แต่หลังจากได้วิเคราะห์ระบบ Aerodynamic แล้วไม่ผ่านมาตรฐาน

จนในที่สุด Airbus A380 ถูกออกแบบให้มีห้องโดยสารเป็นแบบ 2 ชั้นทั้งลำ ทำให้มีขนาดใหญ่มหีมา ส่งผลกระทบให้ต้องพัฒนาเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกมากมายดังนี้

การพัฒนา Airbus A380

Airbus A380
Airbus A380

1 ระบบเครื่องยนต์ Jet ที่ต้องมีพละกำลังมหาศาล

Airbus ร่วมมือกับ Rolls-Royce ใช้เครื่องยนต์เจ็ทอันทรงพลังรุ่น Rolls-Royce Trent 900 ซึ่งมีใบพัดที่ทำด้วยไททาเนี่ยมถึง 24 ใบ โดยเครื่อง Jet แต่ละะเครื่องให้แรงขับสูงถึง 38,101 กก. แรงกว่าเครื่อง Boeing 747 ถึง 20% และมีความปลอดภัยสูงมาก ขนาดที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าถ้าใบพัดที่มีแรงเหวี่ยงมหาศาลหลุดไป ก็จะไม่กระเด็นออกนอกเครื่องยนต์ไปสร้างความเสียหายในส่วนอื่น ซึ่งทำให้ราคาก็แรงสุดๆ ด้วย คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 25% ของเครื่องบิน A380 ทั้งลำเลยครับ

2 ระบบควบคมการบิน

Airbus A380 ใช้ระบบการบินแบบใหม่เรียกว่า Fly-by-wire ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พึ่งถูกใช้กับเครื่องบินพลเรือนเป็นรุ่นแรก โดยนักบินจะเป็นผู้ควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ แล้วคอมพิวเตอร์จะเป็นผู้ควบคุมการบินทั้งหมดเองอีกที

3 ระบบล้อและช่วงล่าง ที่ต้องแข็งแรงขึ้นอย่างมาก

Airbus A380 มีน้ำหนักมหาศาล ทำให้ต้องพัฒนาระบบช่วงล่างให้มีล้อมากถึง 22 ล้อ ซึ่งแบ่งการติดตั้งเป็น 5 จุด โดยมีชุด 6 ล้อสองจุด ที่ลำตัว ชุด 4 ล้อสองจุดที่ใต้ปีก และชุด 2 ล้อหนึ่งจุดที่ส่วนหัว เพื่อการกระจายน้ำหนักให้ได้มากที่สุด

4 ระบบการผลิต

การผลิตเครื่องบิน A380 ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเรื่องที่ท้าทายสุดๆ ทำให้ Airbus ต้องพัฒนาระบบการผลิตใหม่แบบรวมพลังจากนานาชาติ ด้วยการเปลี่ยนโลกให้กลายเป็น โรงงานขนาดใหญ่แทน โดยกระจายการผลิตไปยัง Suppliers มากถึง 1,500 ราย ใน 30 ประเทศ แล้วมีส่วนประกอบหลักๆ แยกกันผลิตอยู่ใน 5 ประเทศของยุโรปเป็นแบบดรีมทีม

Airbus A380 มีส่วนประกอบหลักผลิตใน 5 ประเทศ
Airbus A380 มีส่วนประกอบหลักผลิตใน 5 ประเทศ
เยอรมัน

รับผิดชอบผลิตลำตัวขนาดยักษ์ซึ่งต้องแบ่งเป็น 3 ท่อนขนาดใหญ่ และแพนหางดิ่ง หรือ Vertical Tail Section

เวลส์

รับผิดชอบผลิตปีกที่มีขนาดมหึมาและต้องแข็งแรงสุดๆ เพื่อรับแรงยกของเครื่องบินทั้งลำ

อังกฤษ

รับผิดชอบผลิตเครื่องยนต์ อันทรงพลัง

เสปน

รับผิดชอบผลิตแพนหางระดับ หรือ Horizontal Tail Section

ฝรั่งเศษ

และมีเมือง Toulouse ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้จองฝรั่งเศษ เป็นศูนย์รวมในการประกอบเครื่องบิน A380 ทั้งหมดเข้าด้วยกัน

ซึ่งแค่ระบบ Logistic ในการขนส่งชิ้นส่วนขนาดยักษ์จากประเทศต่างๆไปรวมไว้ที่เดียวนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากสุดๆ แล้ว

จากเดิมที่ Airbus เคยใช้การขนส่งทางอากาศเป็นหลักโดยใช้เครื่องบิน Airbus Beluga แต่ติดข้อจำกัดเรื่องขนาด ทำให้ต้องใช้การขนส่งทั้งทางบก และทางน้ำ เข้าช่วยแทน กลายเป็นวาระแห่งชาติของชาวยุโรปที่เหลือเชื่อมากครับ

และเมื่อได้ของมารวมกันแล้ว การประกอบชิ้นส่วนขนาดยักษ์ซึ่งต่างคนต่างทำเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานการออกแบบ และความปลอดภัยนั้น ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและความสามารถที่ล้ำสุดๆ จริงๆ ครับ OMG

Airbus A380 กลายเป็นโครงการที่เต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรคมากมาย จนหลายคนเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ในที่สุด Airbus ก็สามารถพัฒนา A380 ได้สำเร็จ

ยุคทอง Airbus A380

Airbus A380
Airbus A380

ปี 2005 Airbus A380 ได้มีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ สร้างความฮือฮาอย่างมากไปทั่วโลก ด้วยขนาดมหึมาใหญ่ที่สุดในโลก แถมยังทันสมัยและดูหรูหราสุดๆ เหมือนเป็นโรงแรมสุดหรูที่บินได้

Airbus A380

ขนาดชั้นประหยัดยังดูกว้างขวางและสะดวกสบาย มีกระจกบานใหญ่เพื่อให้คุณได้ชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างจุใจและรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ มีระบบไฟ LED และระบบปรับความดัน ที่ทันสมัย ช่วยปรับระดับความสว่างและความดันอากาศแต่ละช่วงเวลาเพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าในการเดินทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น

Airbus A380
  • มีทางเดินขนาดใหญ่เพื่อขึ้นสู่ชั้นบน
  • มีระบบความบันเทิงอันทันสมัยด้วยจอขนาดใหญ่
  • มีทั้งเล้าจน์และบาร์ให้คุณได้ลุกมาเปลี่ยนอิริยาบท
  • มีทั้งห้องส่วนตัวแบบเดี่ยว และห้องส่วนตัวแบบคู่
  • มีห้องน้ำขนาดใหญ่ แถมห้องอาบน้ำแบบฝักบัว

จนทำให้หลายสายการบินเริ่มเลือกใช้ Airbus A380 แทน Boeing 747

Airbus A380 Singapore Airline
Airbus A380 Singapore Airline

โดยเริ่มต้นจาก Singapore Airlines เป็นสายการบินแรก ตามมาด้วย Emirates Qantas Lufthansa Korean Air และการบินไทยเราก็ซื้อกับเค้าด้วยถึง 6 ลำ เป็นสายการบินลำดับที่ 6 จากทั้งหมด 16 สายการบินทั่วโลก

Airbus A380 Emirates

โดยเฉพาะ Emirates เป็นสายการบินที่สั่งซื้อ Airbus A380 มากที่สุดในโลกถึง 123 ลำ

จนถึงวันนี้ Airbus A380 ได้ให้บริการผู้โดยสารไปแล้วมากกว่า 300 ล้านคน ไปยังมากกว่า 70 จุดหมายปลายทางทั่วโลก

ปิดตำนาน Airbus A380

Airbus A380

Airbus A380 ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ซึ่งจุผู้โดยสารจำนวนมาก เพื่อใช้บินระยะใกล เชื่อมต่อระหว่างสนามบินซึ่งเป็น Hub ขนาดใหญ่ แล้วผู้โดยสารค่อยเปลี่ยนเครื่องแล้วบินต่อด้วยเครื่องขนาดเล็ก ไปยังสนามบินขนาดเล็ก

แต่หลังจากที่ Airbus ให้บริการได้ไม่นาน ความต้องการของผู้โดยสารก็เปลี่ยนไป แถมคู่แข่งอย่าง Boeing ก็ยังออกเครื่องบินรุ่นใหม่ซึ่งเน้นความมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการบินมากกว่าด้วยเครื่องบินแบบ 2 เครื่องยนต์ อย่าง Boing 777 และ Boing 787 Dreamliner ซึ่งประหยัดเชื้อเพลิงกว่า จึงได้รับความนิยมมากกว่า จำทำให้ทั้ง Airbus A380 และ Boeing 747 ที่เปลืองเชื้อเพลิงกว่าเพราะใช้ถึง 4 เครื่องยนต์ มีความต้องการลดลงอย่างมาก

Airbus A380
Airbus A380 Emirates

จนในที่สุด ปี 2021 Airbus A380 ต้องประกาศเลิกผลิต และทำการส่งมอบ A380 ให้ All Nippon Airways เป็นสายการบินสุดท้าย และส่งมอบลำสุดท้าย ซึ่งผลิตเป็นลำที่ 251 ให้กับสายการบิน Emirates เพื่อเป็นการบอกลา ถือเป็นการสิ้นสุดยุคของเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ Superjumbo แบบ 4 เครื่องยนต์ลงอย่างน่าเสียดาย

ทำให้ Airbus A380 กลายเป็นโครงการขนาดยักษ์ที่ทั้งโหดและหินสุดๆ ซึ่ง Airbus ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจจนทำให้ Airbus ต้องบาดเจ็บอย่างหนัก

แม้ Airbus A380 จะเลิกผลิตแล้ว และน่าเสียดายมากที่การบินไทยเราก็เลิกบินแล้ว แต่ยังคงมีอีก 8 สายการบินให้บริการอยู่ เช่น Emirate, British Airways, Quantas และ Singapore Airlines ซึ่งพี่พึ่งบินด้วย Airbus A380 ก็ยังคงชอบและรู้สึกประทับใจอยู่เสมอ และพี่เชื่อว่ามันจะอยู่ในความทรงจำดีๆ ของเราต่อไป

อนาคต Airbus

Airbus ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีการบิน แล้วนำทั้งประสบการณ์และความเจ็บปวดอันแสนสาหัสจากรอยบาดแผลของโครงการ A380 มาเป็นบทเรียน แล้วลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง ด้วยการพัฒนาเครื่องบินรุ่น Airbus A350 ที่จุผู้โดยสารได้ 300-350 คน และ Airbus A330 Neo ที่จุผู้โดยสารได้ 257 คน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อเป็นคู่ปรับกับ Boeing 777 และ Boeing 787 Dreamliner ได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตามกันต่อไปมากครับ

สรุป

Airbus A380
Airbus A380

Airbus A380 คือหนึ่งในสุดยอดเทคโนโลยีอันน่าทึ่ง ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการเดินทางทางอากาศ กลายเป็นแรงบันดาลใจในการทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แถมเป็นตัวอย่างที่ดีของการรวมพลังของธุรกิจซึ่งอยู่ในประเทศที่เล็กกว่า เพื่อต่อสู้กับธุรกิจในประเทศที่ใหญ่กว่าอย่างอเมริกา ได้อย่างน่าสนใจมากๆ

แม้ Airbus A380 จะเป็นสุดยอดเทคโนโลยีเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดและจุคนได้มากที่สุดในโลก ซึ่งมาผิดเวลา จนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องบินสุดเจ๋งซึ่งมีอายุสั้นมากแค่สิบกว่าปี แต่พี่เชื่อว่ามันคือบทเรียนราคาแสนแพงที่ Airbus จะได้อะไรอีกมากมายในอนาคต และมันจะอยู่ในใจผู้คนไปอีกแสนนานครับ

คุณคิดยังไงกับ Airbus A380 ในคลิปนี้ comment เล่าสู่กันฟังบ้าง

ถ้าชอบช่วยกด share ให้เพื่อนคุณโดนด้วยกัน แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

เรื่องเทคโนโลยีอื่นซึ่งคุณอาจชอบ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *